เรียกว่าเป็นคู่สามี-ภรรยา สุดที่น่ารักขวัญใจแฟนๆ สำหรับนักแสดงสาวสวยความสามารถรอบด้าน นุ่น ศิรพันธ์ และสามีหนุ่มคนเก่ง ท็อป พิพัฒน์ ที่เรามักจะเป็นภาพความน่ารักของทั้งคู่ผ่านไลฟ์สไตล์สุดเรียบง่ายแต่ดูพิเศษอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรักในทุกๆ กิจกรรมที่ทั้งคู่ลงมือทำด้วยกัน จนตอนนี้ทั้งคู่กลายเป็นคู่รักที่ไอดอลของหลายๆ คู่เลยทีเดียว
ซึ่งนอกจากงานในวงการที่แฟนๆ ชื่นชอบแล้ว ทั้งคู่ยังร่วมกันทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้แนวคิดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในชื่อ บริษัท คิดคิด จำกัด และได้รับฉายา "คู่รัก ECO" ไปเป็นที่เรียบร้อย และที่พิเศษสุดๆ คือ ตอนนี้ทั้งคู่ยังมีโปรเจ็กต์เด็ดๆ ร่วมกับ AIS ผุดไอเดียสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) อย่างถูกวิธีและยั่งยืนอีกด้วย
ทีมข่าวบันเทิง sanook.com มีโอกาสได้พูดคุยกับทั้งคู่ในมุมมองความรักรูปแบบต่างๆ ทั้งภาคความรักการใช้ชีวิตคู่ ผสมผสานกับภาคความรักที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
รักแรกพบ : เส้นทางความรัก พรหมลิขิต
ท็อป : "ตอนนั้นผมยังมีโอกาสโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงอยู่ครับ ผมได้เห็นภาพยนตร์ของนุ่นเรื่อง "เพื่อนสนิท" และผมก็ชอบ "ดากานดา" มาก แล้วตอนนั้นผมเองเล่นซีรีส์อยู่เรื่องนึง คือ "พ่อแกกับแม่ฉัน" ที่น้อง โอปอล์ ปาณิสรา เล่นอยู่ด้วย ผมก็เลยให้น้องโอปอล์เป็นแม่สื่อก็เลยถามโอปอล์ว่า "เป็นไปได้มั้ยถ้าพี่ท็อปจะขอเบอร์โทรนุ่น" โอปอล์เขาก็เลยไปช่วยจัดการให้ครับ"
นุ่น : "เราเคยดูภาพยนตร์ของเขามาก่อนเรื่อง "บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม" แล้วรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ตี๋ น่ารักมากเลย พอเรามีโอกาสเล่นเรื่องเพื่อนสนิทก็ได้ไปร่วมงานงานหนึ่งได้เดินสวนกับพี่ท็อปนี่แหละ ซึ่งตอนนั้นพี่ท็อปจะเป็นขวัญใจของสาวๆในแก๊งเพื่อนสนิท ตอนนั้นความรู้สึกเราเหมือนเรากรี๊ดดาราอ่ะ แต่เขาไม่รู้เป็นอะไรวันนั้นเขาหน้าตึงเดินผ่านแก๊งเราไป เราก็เลยรู้สึกว่าหยิ่งจังเลย ทำให้ฝังใจว่าผู้ชายคนนี้หยิ่ง แต่เพิ่งมาถามกันตอนหลัง คือ วันนั้นเขาไม่เห็นเรา (หัวเราะ)"
"แล้ววันหนึ่งจู่ๆ มีโทรศัพท์มาบอกว่า "สวัสดีครับ ผม ท็อป พิพัฒน์ นะครับ" อารมณ์เราตอนนั้นที่เคยเหม็นขี้หน้าก็รู้สึกแบบ อุ้ย! พี่ท็อป โทรมาแอบตื่นเต้นเบาๆ แล้วได้ลองคุย ในเริ่มแรกเราคุยกันเรื่องงานดีไซน์ซึ่งเป็นสิ่งที่นุ่นสนใจ เราก็รู้แหละว่ามาจีบ แต่ก็ลองคุยกันดูก่อนแล้วก็ยาวมาเลยค่ะ"
10 ปี ของชีวิตคู่ : รักต้องปรับจูนให้ราบรื่น
ท็อป : "โห ก็เยอะนะ อย่างตัวผมเองเนี้ย ถ้าคนภายนอกมองจะมองว่าเป็นคนใจดี ใจเย็น ยิ้มๆ แต่พอเวลาผมทำงานผมจะซีเรียส จริงจัง ก็เลยทำให้เวลาทำงานก็จะไม่น่ารักเท่าไหร่ เวลาเราอยู่ในโหมดซีเรียสก็จะทำให้มีปัญหากันบ่อยๆ เวลาเราซีเรียสจากงานมา งานจบแล้วเรายังไม่จบแล้วมาเจอนุ่น เขาก็จะเป็นเหมือนที่่สุดท้ายที่ต้องมารับพลังงานจากเรา เช่น กลับมาถึงก็หน้าบึ้งตึงมาเลย ทำให้เวลาอยู่ด้วยกันอาจจะไม่สมูททุกครั้ง ซึ่งก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ"
นุ่น : เราก็จูนกันมาเรื่อยๆ ค่ะ บางวันเรารับมาดอกนึง ดอกที่สองยังไหว พอมาดอกที่สามเราว่าเราอาจจะต้องแยกกันสักพักนึง แยกกันอยู่คนละมุมห้อง (หัวเราะ) นุ่นว่าทุกคู่ก็ต้องมีปรับแบบนี้แหละค่ะ อยากจะแนะนำเลยว่า ใครที่เป็นแฟนกันนะคะ ถ้าอยากจะแต่งงานให้ลองทำธุรกิจด้วยกัน เพราะจะได้รู้ไปเลยว่าจะอยู่ด้วยกันได้หรือเปล่า ถ้าแต่งไปแล้วก็อย่าทำธุรกิจด้วยกันจะได้มีชีวิตที่มีความสุขค่ะ (หัวเราะ) ส่วนเราสองคนหลวมตัวมาขนาดนี้แล้วก็สู้ต่อไปค่ะ"
รักที่ประทับใจกันและกัน
นุ่น : "พี่ท็อปเป็นคนดีค่ะ นุ่นชอบเขาตรงนี้แหละ เราไม่นับเรื่องวิธีการทำงานเนาะ แต่เรารู้สึกว่าทัศนคติเขาดี และเขาเป็นคนที่เนื้อในเขาดีซึ่งอันนี้ต้องยอม เป็นผู้นำ เราเคยเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองเยอะเหมือนกัน รู้สึกว่าผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย ดังนั้นถ้าคนที่มาอยู่ข้างๆ เราเขาไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเชื่อเขาได้เราก็จะรู้สึกว่าเราก็นำเขาได้ แต่ถ้ามีใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขามีเหตุผล"
"การเป็นผู้นำไม่ใช่วางอำนาจนะคะ แต่ทำให้เรารู้สึกว่าเขานำครอบครัวได้ นำความคิดเราได้ ไม่ได้ชักจูงแต่ชี้ทางบางอย่างได้ เรารู้สึกว่านี่เป็นจุดแข็งที่เขามีค่ะ"
ท็อป : "นุ่นเขาเป็นคนเก่งนะ เราเห็นความเก่งและความพยายามของเขาในหลายๆ เรื่อง บางครั้งนุ่นไม่ต้องบอกแต่เขาทำให้เราเห็นเราก็รู้สึกว่าเราอยากทำตาม อยากจะเก่งแบบเขา บางครั้งเวลาที่เราหงุดหงิด เราดาวน์มากๆ ในบางเรื่อง เขาจะเป็นคนช่วยดึงให้เรากลับขึ้นมาปกติได้"
"อีกอย่างผมคิดว่าผมไม่ได้เป็นสามีที่ต้องนำเสมอเพราะผมรู้สึกว่าผู้หญิงเขาก็จะมีความเก่งของเขา ดังนั้น การจะไปด้วยกันได้มันต้องรู้ว่าจังหวะนี้เราตามก็ได้ เช่น เรื่องล้างจาน ทำความสะอาดบ้านผมก็ทำ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องของผู้หญิงเสมอไปครับ"
"เมื่อก่อนเราจะเชื่อในความคิดของตัวเองมากเลย แต่หลังๆ เราต้องยอมและเชื่อในความคิดของนุ่น เพราะเราต้องลองดูว่าบางทีความคิดเขาอาจจะมีอะไรที่ดีกว่าเราก็ได้ครับ เราต้องมีทั้งจังหวะนำ จังหวะตาม ให้เกียรติกัน เชื่อใจกัน ต้องมีสเปซให้กันและกัน ไม่จำเป็นต้องบล็อกให้เขาต้องตามเราตลอดเวลาครับ"
รักที่ให้อภัย: ความเข้าใจ ประนีประนอม
ท็อป : เรื่องนี้ผมต้องตอบก่อนเลย เพราะปกติจะเป็นผมที่ปรี๊ดปร๊าดเหมือนแตกเนื้อหนุ่มตลอดเวลาใส่เขา (หัวเราะ) ผมจะเป็นคนอารมณ์ไม่นิ่ง ถ้าโมโห คือ โมโห เศร้า คือ เศร้า ดีใจ ก็คือ ดีใจไปเลยอะไรแบบนั้น แล้วพอเวลาเป็นแบบนี้ นุ่นจะเป็นคนที่ทำให้เรามาอยู่ตรงกลางได้ ถ้าโมโห ปรี๊ด ขึ้นไป นุ่นเขาจะดึงเรากลับมา เวลาผมโมโหมากๆ นุ่นเขาจะรู้จังหวะว่าต้องปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักพักก่อน หลังจากนั้นเมื่อสติเรากลับมาแล้วเราจะเป็นฝ่ายรู้สึกผิดเอง ถ้าพูดถึงคำว่าให้อภัย นุ่นเขาก็จะเป็นคนให้อภัยเราเยอะ จนเรากลับมารู้สึกตัวเองแล้วเราเองจะเป็นคนปรับตัวให้ดีขึ้น"
นุ่น : "บางครั้งเรารู้สึกโกรธเหมือนกัน ถึงได้บอกว่าอย่าทำธุรกิจด้วยกัน (หัวเราะ) แต่ว่าด้วยวุฒิภาวะเราก็ต้องบอกว่าวุฒิภาวะเราดีขึ้น เราไม่ใช่ผู้หญิงวัย 20 ต้นๆ ที่งอนแล้วหนีกลับบ้าน แต่เราจะ 40 แล้ว มันผ่านการเรียนรู้กันมา ตัวเราเองเวลาเราโกรธเราก็ต้องทำความเข้าใจตัวเองว่าโกรธอยู่แล้วไปหาอย่างอื่นทำ เวลาโกรธไม่อยากจะพูดหรืออะไรเพราะสุดท้ายมันจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นเวลาโกรธจะจัดการกับตัวเองก่อนให้ความรู้สึกความโกรธมันจบลงก่อนค่อยกลับมาพูดคุยกัน แต่ระหว่างทางก็ยากนะคะ (หัวเราะ)"
รัก : ทายาท
นุ่น : "เคยมีบางช่วงของชีวิตนะคะที่อยากมีลูกเป็นของตัวเอง แต่ในหลายๆ ช่วงก็รู้สึกว่าไม่กล้าที่จะเป็นแม่ บางทีเราก็หาคำตอบให้ตัวเองว่าจุดมุ่งหมายของการมีลูกคืออะไร ถ้าฟังก์ชั่นของการมีลูก คือ เพื่อให้เขามาเลี้ยงดูเรา เราก็รู็สึกว่ามันไม่ใช่ทางของเรา พี่ท็อปเองก็บอกตลอดว่าอย่าคิดว่ามีลูกเพื่อให้เขามาเลี้ยงเราเพราะมันเหมือนการผลักภาระให้เขา เหมือนเขาเกิดมาพร้อมกับหน้าที่นี้ที่เราคิดว่ามันไม่แฟร์ ถ้าเรามองว่าให้เขามาดูแลเราตอนแก่ เราก็คิดว่า ถ้างั้นเราก็ทำงานและวางแผนชีวิตให้ดีเพื่อให้ตอนแก่เราอยู่ได้แบบสบาย ไม่เป็นภาระใคร"
"ส่วนอีกฟังก์ชั่นคือ มีลูกเพื่อการเอ็นเตอร์เทน เราก็รู้สึกว่าการอยู่สองคนก็เติมเต็มกันแล้ว ความเอ็นเตอร์เทนของเราสองคนมันยังมีโปรเจ็กต์ที่เราทำ งาน กิจกรรมต่างๆ ที่เราทำมันก็เติมเต็มเราแล้วค่ะ และก็มองไปยังฟังก์ชั่นอื่นๆ ว่า การมีลูกจะมาตอบโจทย์อะไรในชีวิตเราบ้างเราก็มองว่าไม่ได้ตอบโจทย์อะไร แต่เราบอกเสมอว่าไม่ใช่ทุกคนต้องมาคิดแบบเรา แต่ละคนมีเรื่องราวของตัวเอง แต่สำหรับคู่เรา เรามองว่าฟังก์ชั่นต่างๆ ที่พูดมาเรามีสิ่งอื่นที่เติมเต็มเราอยู่แล้วค่ะ เหมือนเราก็ทำอะไรของเราไปเรื่อยๆ จนเราไม่ได้คิดเรื่องมีลูกเลยมากกว่าค่ะ
ท็อป : "ผมว่าเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นอยู่เหมือนกันนะ ผมไม่ได้คิดว่าคู่เราเป็นแบบนี้แล้วคนอื่นๆ ต้องทำตามเรานะครับ ผมคิดว่าหลายๆ คนที่ตัดสินใจมีลูกแล้วนั่นคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง นั่นก็เป็นสิ่งที่ผ่านกระบวนการคิดมาแล้ว ผมอยากจะฝากเรื่องนี้กับน้องๆ บางคนมากกว่าที่สมมติคุณยังเป็นวัยรุ่นอยากให้ลองดูวิธีการคิดแบบนี้ เพราะหลายคนอาจจะยังไม่พร้อมในด้านต่างๆ เพราะการมีเด็กคนนึงไม่ใช่มีออกมาแล้วเอาลับคืนกลับไปได้ เราต้องดูแลเขาต่อไป แล้วเขาก็จะเป็นคนดูแลประเทศนี้ต่อไป ถ้าความคิดแบบคู่เรามันโอเคกับคุณก็ลองไปปรับใช้ดูครับ แต่สำหรับคนที่อยากมีและมีอยู่แล้วเราเห็นดีด้วยแน่นอน เราเคารพในการตัดสินใจของทุกๆ คนครับ"
รัก(ษ์)โลก : ฉายาคู่รัก ECO
ท็อป : "น่าจะเพราะเราทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานมั้งครับ มันเป็นสิ่งที่เราทำแล้วถูกจริต แต่เราต้องบอกก่อนนะครับว่าเราสองคนไม่ใช่มนุษย์ ECO 100% ขนาดนั้น ก็ยังเป็นมนุษย์ ECO ที่มีกิเลสอยู่นะ (หัวเราะ) เราก็ยังอยากได้ อยากมี อยากกินอยู่ แต่เราพยายามทำในสิ่งที่เราทำได้อยู่ซึ่งบางอย่างเราทำไม่ได้เราก็ไม่ฝืนนะครับ"
"เราทำแบบนี้มา 10 กว่าปีแล้ว ทำให้เราเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิ่งแวดล้อมในประเทศ เราสามารถทำเป็นอาชีพ ตั้งบริษัท นำแนวคิดและประสบการณ์ไปชวนหลายๆ บริษัทมาร่วมทำด้วยกันได้ ซึ่งเรานับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้ทำครับ แต่เราต้องบอกว่าสำหรับใครที่ยังไม่รู้จะต้องเริ่มยังไง ลองเริ่มแบบเราสองคนได้เพราะเราไม่ได้ซีเรียสเลย"
"บางครั้งจำเป็นต้องใช้สิ่งที่ไม่ ECO เราก็ต้องใช้นะ เช่น บางทีจะกินน้ำปั่นแต่ไม่ใช้หลอดก็ลำบากนะ (หัวเราะ) บางทีไปซื้อของร้อนก็ต้องใช้พลาสติกนะ มันอยู่ที่การที่เราจะมาคิดจัดการในสิ่งที่ทำได้มากกว่า ทุกคนก็ชวนคนรอบข้างมาทำได้ใครก็เป็นมนุษย์ คู่รัก ECO ได้ครับ"
คู่รักไลฟ์สไตล์ ECO VS ความกดดันในการใช้ชีวิต
นุ่น : "ก็มีบ้างนะคะ ช่วงแรกๆ พี่ท็อปก็จะบอกว่าเรามีกิเลสนะๆ (หัวเราะ) เรา ECO แบบมีกิเลส เพราะเราอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ที่เราต้องใช้ชีวิต การที่จะให้ zero waste จริงๆ มันยากมาก เราก็มีของใช้เหมือนคนทั่วๆ ไป อยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับเขาต่อ จะใช้เขาห้คุ้มค่าที่สุดยังไงค่ะ"
รักสีเขียว : เดินสายวิถีเกษตร
นุ่น : "เริ่มจากคุณแม่นุ่นเลยค่ะ ตั้งแต่เด็กนุ่นอยู่บ้านที่ จ.เชียงใหม่ เราก็จะมีการปลูกผัก มีสิ่งที่เรียกว่ารั้วกินได้ พอย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ คุณแม่เกษียณจากการเป็นราชการท่าก็มีเวลาก็เลยเริ่มมีการปลูกผักกัน แทนที่ตอนแรกจะเป็นแค่สนามหญ้าทั่วไปที่ต้องตัดหญ้ากันประจำ ตอนนี้ก็เริ่มเป็นแปลงผัก ปลูกต้นไม้เพิ่ม ก็เรียกว่าเอ็นจอยกันกับคุณแม่ พอเราปลูกแล้วผักที่เราปลูกก็เก็บมาให้น้องๆ ที่ออฟฟิศกิน แล้วก็เริ่มลามไปจากที่กรุงเทพไปเริ่มทำสวนที่เชียงใหม่ด้วย เพราะเรามีพื้นที่อยู่เราก็เลยลองปลูกเป็นพืชสมุนไพรไว้ค่ะ มีพี่ท็อปเป็นคนสวนรับเชิญ (หัวเราะ) เพราะนุ่นเป็นเด็กที่เคยปลูกผัก ปลูกข้าวโพด เก็บไปให้แม่ พอมาถามพี่ท็อป พี่ท็อปบอกไม่เคยทำก็เลยชวนให้เขามาทำด้วยกันดูมันสนุกนะคะ"
นุ่น : "เกษตรกรเต็มตัว นุ่นว่าถ้าทำได้มันเป็นสิ่งที่ดีนะคะ เพราะคนแรกที่ได้คือเรา เราได้เก็บกิน เราได้ใช้เวลากับการสร้างตรงนี้แทนที่จะใช้เวลากับโซเชียลอย่างเดียว เราอาจจะได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้นด้วย"
ปิดท้ายด้วยโปรเจคดีๆ จากคู่รัก ECO "คนไทยไร้ E-Waste"
ท็อป : "เราอยากประชาสัมพันธ์โครงการ "คนไทยไร้ E-Waste" คือ บริษัท คิดคิด จำกัด ของเราได้ร่วมกับ AIS อยากเชิญชวนคนไทยทั้งประเทศ ถ้าคุณมีขยะอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในมือ คุณสามารถนำมาทิ้งกับเราได้ แล้วเราจะนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี"
"และที่พิเศษอีกอย่าง คือ เราจะมีแอพลิเคชั่น ECOLIFE ที่สามารถดาวน์โหลดฟรี แอพฯ นี้จะเป็นเกมส์เวลาที่เรานำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งที่กล่องของเราเราจะเห็นว่ามีคิวอาร์โค้ด เราสามารถให้แอพลิเคชั่นนี้สแกนแล้วเกมส์ในแอพฯ จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังจะได้รับ ECO POINT สะสมแต้มเพื่อแลกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ด้วยครับ"
"ซึ่งเราอยากจะให้โครงการนี้ขยายไปเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี เพื่อที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จะได้ถูกจัดการอย่างถูกวิธีเพราะไม่อย่างนั้นแล้วคนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ใช่ใครเลย ก็คือ พวกเราทุกๆ คน คือ ครอบครัว คือคนที่เรารักครับ และในอีกแง่หนึ่งคือ สามารถนำกลับไปแปรเปลี่ยนวนกลับมาเพื่อนำมาใช้ใหม่ได้ด้วยครับ"
นุ่น : เวลาที่เราพูดถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์มันมีเยอะมากและไม่รู้ว่าประเภทไหนต้องจัดการยังไง ทาง AIS ก็อยากจะเป็นแกนนำที่จะนำขยะเหล่านี้มาจัดการ โดยมีกล่องให้นำขยะเหล่านั้นมาใส่ โดยโครงการนี้จะเริ่มจาก 5 ประเภท คือ โทรศัพท์ แท็บเล็ต ที่ชาร์จแบต แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ พาวเวอร์แบงค์ โดยจะมีกล่องของ AIS วางให้ใช้บริการประมาณ 1,800 จุดทั่วประเทศ ทุกคนสามารถนำขยะ 5 ประเภทที่กล่าวมามาหย่อนได้ ถ้านึกไม่ออกว่าจะไปที่ไหนดี ก็เริ่มจาก AIS shop ไปรษณีย์ ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล เลยค่ะ หรือสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยที่ www.ewastethailand.com ได้เลยค่ะ"
"ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์จะส่งผลกระทบกับเรายังไงก็เอาง่ายๆ เลยค่ะ ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เขาจะมีสารเคมีที่ใช้สำหรับการใช้งานของเขา แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาเสื่อมสภาพแล้ว การทิ้งที่ผิดวิธีหรือกำจัดอย่างผิดวิธีอาจจะสร้างสารพิษมาทำลายสุขภาพและก่อผลเสียกับสิ่งแวดล้อมได้ค่ะ"
เท่าที่ได้พูดคุยกับทั้งคู่บอกเลยว่าทั้งความรักที่มีให้กัน ความให้เกียรติและไลฟ์สไตล์ของทั้งคู่ช่างเป็นสิ่งที่เข้ากันได้อย่างลงตัว และนอกจากรักที่มอบให้กันแล้ว เขาท้้งคู่ยังมาชวนให้เราทุกคนมอบความรักความปรารถนาดีไปยังทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ด้วย เอาเป็นว่าอย่าลืมนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งกันให้ถูกที่เพื่อประโยชน์ของทุกๆ คนเอง เราจะได้มีชีวิตที่ดีกันอย่างยั่งยืนต่อไป
"มันง่าย" - Google News
August 02, 2020 at 05:05PM
https://ift.tt/39R6P0q
สัมผัสความรักแบบ ECO ของ "นุ่น-ท็อป" เรียบง่ายแต่พิเศษทุกรายละเอียด - Sanook
"มันง่าย" - Google News
https://ift.tt/36QbjCT
Home To Blog
No comments:
Post a Comment