วันอาทิตย์ ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 07.15 น.
“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ กำลังจะกลับมาลงสนามอีกครั้ง กับฤดูกาลที่มีความซับซ้อนเกิดขึ้นมากมาย
การต่อกรในสนามแข่งขัน ที่ถือว่าดุเด็ดเผ็ดมันมาโดยตลอด นับจากบทเรียนจากฤดูกาลก่อนที่อุตส่าห์โกยไปถึง 97 แต้มก็ยังอุตส่าห์ไม่ได้แชมป์
กระทั่งโกยอ้าวชนะได้ถึง 27 จาก29 นัดแรกของฤดูกาล ทำท่าจะเป็นแชมป์ที่ “เร็วที่สุด” ในประวัติศาสตร์
กลายเป็นจ่อแชมป์ที่ “ช้าที่สุด”ไปซะฉิบ
ไม่มีใครคิดว่า แชมป์แรกในรอบ 30 ปี แชมป์สมัยที่ 19 ที่เกิดขึ้นในซีซั่น 2019-20 จะรุงรังและสับสนมีอุปสรรคในสนามไม่พอ กลับมาเจอเรื่องราวของ “โควิด-19” ทำให้การดวลแข้งต้องหยุดไปนานกว่า 100 วัน หรือ 3 เดือนเศษๆ
สมาธิของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทีมจะถูกทดสอบกันอีกครั้ง กับโอกาสที่ใกล้เคียงที่สุด ที่หลายคนมองว่า “แบเบอร์”เพราะพวกเขาต้องการอีกแค่ 6 จาก 27 คะแนนที่เหลือ
ก็จะเป็นแชมป์ทันที
เอาเข้าจริง มันเหมือนกับการบิ้วกันใหม่หมด หลังจากปีก่อน อาณาจักรแอนฟิลด์ มีอะไรที่ฉาบไปด้วยคราบน้ำตาและเสียงหัวเราะ
......การพลาดแชมป์ลีกสูงสุดที่รอคอยมาตลอด การแพ้แค่คะแนนเดียวมันเจ็บปวดมาก เมื่อทีมสามารถโกยคะแนนได้มหาศาลระดับขาดอีก 3 แต้มครบร้อย ก็ยังไม่ได้แชมป์
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะที่มาดริด ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากมือเปล่ามายาวนานถึง 7 ปี และเข้าชิงฟุตบอล 3 รายการ แพ้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลีกคัพ 2016, ยูโรป้าลีก 2016 และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2018
การคว้าชัยเหนือ สเปอร์ส 2-0 คือการเดิมพันครั้งสำคัญอย่างที่สุด เพราะคือสิ่งที่ “สัมผัสได้” และทำให้ทุกอย่างยัง “ตั้งอยู่” และยังไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ
ผลจากเกมนั้นมันชัดเจนมากๆ เมื่อ ลิเวอร์พูล เดินหน้าต่อไป ขณะที่ สเปอร์ส มาพังในช่วงกลางฤดูกาล และทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
เมื่อมีความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ทุกสิ่งอย่างหลั่งไหล่เข้าสู่สโมสรลิเวอร์พูล ผลประโยชน์ต่างๆ รอบด้าน และผู้ให้การสนับสนุนพุ่งเข้าหาสโมสรอย่างไม่ขาดสาย จนได้กำไรพุ่งพรวดขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปของโลก
ถ้วยแชมป์ ไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่เป็นตัวกำหนดทิศทางสโมสรได้เป็นอย่างดี
เมื่อทุกอย่างเดินมาได้เป็นอย่างดี ลิเวอร์พูล เน้นอย่างมากกับถ้วยพรีเมียร์ลีกที่ทุกคนรู้ดีว่านี่คือยอดปรารถนาที่จะต้องคว้ามันกลับมาให้ได้ หลังจากเวลาเนิ่นนานผ่านไป ใช่ผู้จัดการทีมมากมายหลายคนไม่ประสบความสำเร็จสักที
เคนนี่ ดักลิช ลาออกไปในปี 1991 จากนั้นกลับมาในปี 2011 ก็ไม่ได้ใกล้เคียงส่วนที่เหลือก็ไม่ประสบความสำเร็จเลยทั้ง แกรม ซูเนสส์, รอย เอฟแวนส์, เชราร์อุลลิเย่ร์, ราฟา เบนิเตซ, รอย ฮอดจ์สัน, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
คล็อปป์ พาทีมขยับเข้าใกล้มาทุกขณะ และกลายเป็นศูนย์กลางของทีม หลังจากหมดยุคของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด
ปีก่อนถือว่าใกล้เคียงอย่างที่สุดแล้ว ปีนี้ยิ่งใกล้เคียงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หลายเกม ลิเวอร์พูล เปลี่ยนคะแนนจาก 1 เป็น 3 และสามารถเก็บชัยได้อย่างมีมาตรฐาน การทำประตูในช่วงท้ายเกม กลายเป็นเรื่องปกติ เหมือนในยุคเครื่องจักรสีแดง ที่ได้รับฉายาว่าเนเวอร์ เซย์ ดาย
การออกสตาร์ทชนะ ชนะ แล้วก็ชนะแบบนี้ ไม่เคยปรากฏมาก่อนในวงการฟุตบอลยุโรปลีกหลักทั้ง 5 ลีก เมื่อผ่าน 27 นัด สามารถชนะได้ถึง 26 และเสมอ 1 เกมกับ แมนฯยูไนเต็ด
คนใจแคบและดูฟุตบอลเอาไว้แอ๊กเท่านั้นที่จะบอกว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้ไม่ดี
กระทั่งเจอกับพิษการตีข่าวที่พุ่งแรงก่อนแข่งขันในเกมที่ 28 กับ วัตฟอร์ดเล่นงานจนหนักหน่วงว่า ซีซั่นนี้อาจจะเป็นโมฆะยกเลิก หากว่า ไวรัสอู่ฮั่น ที่เริ่มระบาดในแถบเอเชีย หากเข้ายุโรปเมื่อไหร่การแข่งขันจะยกเลิกไปเลย
เกมนั้นที่วิคาเรจโร้ด “หงส์แดง” เต็มไปด้วยความผิดพลาด เล่นด้วยความกังวลจนแพ้
แน่นอนที่สุดเครดิตต้องยกให้กับวัตฟอร์ด ที่มุ่งมั่นอย่างมาก แต่พิจารณาดูเกมนี้มาเกือบ 10 รอบ ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล เล่นเหมือนกับซีซั่นแรกที่ คล็อปป์ คุมทีมแบบเต็มตัว
การส่งบอลผิดพลาดแบบไม่น่าเชื่อซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่เห็นเลยในสองปีหลัง แล้วสุดท้ายก็ถูกลงโทษแพ้ไปสบาย
นอกจากเสียสมาธิแล้ว ตอนนั้นเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ทีมกำลังกดดันแบบสุดๆ เพราะสถิติต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทำให้นักบอลหลายคนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กำลังแบกรับความกดดันที่มากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะแบกไม่ไหว
ตกรอบเอฟเอ คัพ ตามสภาพเพราะการเยือน เชลซี ไม่ใช่ของง่าย ก่อนจะฮึดเชือด บอร์นมัธ ในเกมที่เจียนไปเจียนอยู่ และตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก ในเกมที่สื่ออังกฤษมองว่าเป็น “บอลเพาะเชื้อ” ไม่ต่างอะไรกับการแข่งม้า ที่เชลแน่ม
เมื่อบอลต้องหยุดเพราะโควิด-19 ผมมองว่า ลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในทีมที่โชคดีที่ได้เบรกความเครียดตรงนั้นด้วย
จะบอกว่าเหมือน “ระฆังช่วย” ก็ว่าได้
ทุกอย่างที่มันดูเครียดไปหมด ทำให้หลายคนออกไปพักและปล่อยวาง
ถึงแม้คะแนนที่ต้องการจะเหลือแค่ 6 คะแนนก็จริง แต่โปรแกรมการไปเยือนทั้ง เอฟเวอร์ตัน กับ แมนฯซิตี้มันง่ายซะที่ไหน
มองในแง่ดี ก็ถือว่าเจ๊ากันไปอาจจะไม่ได้แชมป์เร็ว แต่ก็ช่วยให้นักบอลและทีมลดความเครียดลงไปอีกบานตะไท
ตอนนี้ได้มาตั้งสมาธิและมุ่งใหม่อีกครั้ง
เพราะกลับมาหนนี้ขอชนะอีก 2 หนเท่านั้นทุกอย่างจบลงทันที
แม้ว่าจะมีอะไรที่บั่นทอนทางความรู้สึกมากมาย ทั้งสโมสร และกองเชียร์
สโมสรมีเรื่องราวการเสียฟอร์มของผู้บริหารที่จะปลดพนักงาน พร้อมกับการช่วยเหลือทางการเงินจากภาครัฐ, การสูญเงินมหาศาลในเรื่องธุรกิจ และยังไม่สามารถลงตลาดนักบอลได้อย่างเต็มตัว เพราะภารกิจของนักเตะชุดนี้ยังไม่จบ รวมถึงรายได้ในอนาคตที่ยังไม่แน่นอน
เช่นเดียวกับแฟนบอลที่ต้องระวังตัวว่า “ติดเชื้อหรือยัง” หรือ “ได้แชมป์หรือยัง” ซึ่งผมมองว่า แฟนบอลเดอะ ค็อป หรือ ค็อป ไพร์ ทั่วโลกเป็นเหมือนกันนั่นคือทุกข์กว่าเดิมเป็นสองเท่า
กลัวทั้งติดโรค กลัวทั้งไม่ได้แชมป์
มาถึงวันนี้ ทุกอย่างจะถูกวางลงไปตามเงื่อนไขของเวลาที่หยุดไปกว่า 3 เดือนนี้ โฟกัสจะเริ่มต้นที่คืนนี้ที่กูดิสันพาร์ค
นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมทช์ ที่ถูกบันทึกความสำคัญอีกครั้งก็เป็นได้
มีหลายคนแซวกันว่า เอฟเวอร์ตันหนึ่งปีจะเล่นดีอยู่สองนัด นั่นคือ เจอกับลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ กับ เจอกับ ลิเวอร์พูล ที่กูดิสัน พาร์ค
ที่ผ่านมา ทั้งสองทีมบดบี้ในเกมสำคัญกันมากมาย โดยเฉพาะยุค 80 จนถึงต้นยุค 90 ที่ทั้งคู่มักจะอยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของกันและกัน
ปี 1984 ลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศหนแรกของทั้งสองทีมที่เจอกันในบอลถ้วย ต้องเล่นรีเพลย์กว่าจะรู้ผลว่า ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์
ปี 1986 เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศหนแรกของทั้งสองทีม “หงส์” ชนะ 3-1 ครองดับเบิ้ลแชมป์หนแรก
ปี 1988 ดิวิชั่น 1 ซึ่ง ลิเวอร์พูลขอแค่ไม่แพ้ก็จะเป็นสถิติใหม่ของอังกฤษ ที่จะออกสตาร์ทไร้พ่าย 30 นัด แต่ต้องหยุดไว้ที่เลข 29 ด้วยน้ำมือของ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค 0-1
ปี 1989 เอฟเอ คัพ นัดชิงหลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโร่ ก็โคจรมาชิงกัน ลิเวอร์พูลต่อเวลาชนะ 3-2
ปี 1991 เอฟเอ คัพ ที่ต้องรีเพลย์กันยับถึง 3 แมทช์ ลิเวอร์พูล บุกนำ 4 หน แต่สุดท้าย เอฟเวอร์ตัน ตามตีเสมอได้ทั้ง 4 ครา ทำให้ เคนนี่ดัลกลิช ประกาศลาออกเพราะทนความกดดันไม่ไหว
นับจากวันนั้น ลิเวอร์พูล ไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอีกเลย
มาในวันนี้ ลิเวอร์พูล กลับมานับหนึ่งกันใหม่ในการลุ้นแชมป์ลีกหนแรกในรอบ 30 ปี ก็ได้เจอกับเอฟเวอร์ตัน ความรู้สึกมันบอกว่าพี่น้องคู่นี้ที่แยกกันมาตั้งแต่ปี 1892 นี่มันยังไงกัน
สุดท้ายก็นั่นแหล่ะ ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน...หนีกันไม่ออกจริงๆ !!!!
บี แหลมสิงห์
"มันง่าย" - Google News
June 20, 2020 at 05:15PM
https://ift.tt/3fV4jIv
สู่เส้นทางที่รอคอยของ'ลิเวอร์พูล' - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
"มันง่าย" - Google News
https://ift.tt/36QbjCT
Home To Blog
No comments:
Post a Comment